ลักษณะบังคับ ในการเรียบเรียงคำประพันธ์
   ๑. ครุ-ลหุ
ครุ คือพยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วยสระเสียงยาว(ทีฆสระ)และสระเกินทั้ง ๔ คือสระ อำ ไอ ใอ เอา และพยางค์ที่มีตัวสะกดทั้งสิ้น เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ใช้เครื่องหมาย –ั (ไม้หันอากาศ) แทน
ลหุ คือพยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วยสระสั้น(รัสสระ)ที่ไม่มีตัวสะกด เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ใช้เครื่องหมาย –ุ (สระอุ) แทน
๒. เอก-โท
ครุ คือพยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วยสระเสียงยาว(ทีฆสระ)และสระเกินทั้ง ๔ คือสระ อำ ไอ ใอ เอา และพยางค์ที่มีตัวสะกดทั้งสิ้น เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ใช้เครื่องหมาย –ั (ไม้หันอากาศ) แทน
ลหุ คือพยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วยสระสั้น(รัสสระ)ที่ไม่มีตัวสะกด เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ใช้เครื่องหมาย –ุ (สระอุ) แทน
๒. เอก-โท
เอก 
คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์เอกและบรรดาคำตายทั้งสิ้น 
ซึ่งในโคลงและร่ายใช้แทนเอกได้
โท คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์โท
โทโทษ คือคำที่ไม่เคยใช้ไม่โท แต่เอามาแปลงโดยเปลี่ยนวรรณยุกต์เป็นโท เพื่อให้ได้เสียงตามบังคับเช่น ว่าย เป็น หว้าย ซ่อน เป็น ส้อน ล่อง เป็น หล้อง เป็นต้น
๓. คณะ
โทโทษ คือคำที่ไม่เคยใช้ไม่โท แต่เอามาแปลงโดยเปลี่ยนวรรณยุกต์เป็นโท เพื่อให้ได้เสียงตามบังคับเช่น ว่าย เป็น หว้าย ซ่อน เป็น ส้อน ล่อง เป็น หล้อง เป็นต้น
๓. คณะ
คือแบบบังคับที่วางกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า 
คำประพันธ์ชนิดนั้นต้องมีเท่านั้นวรรค เท่านั้นคำ และต้องมีเอก – โท ครุลหุตรงนั้นๆ 
และที่สำคัญคำประพันธ์ทุกชนิดจะต้องมีคณะ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นคำประพันธ์ 
นี้กล่าวโดยทั่วไป
๕. สัมผัส
คือลักษณะบังคับที่ให้ใช้คำคล้องจองกัน คำที่คล้องจองกันหมายถึงคำที่ใช้สระและตัวสระกดในมาตราอย่างเดียวกัน แต่ต้องไม่ซ้ำอักษรหรือซ้ำเสียงกัน(สระ ไอ ใอ อนุญาตให้ใช้สัมผัสกับ อัย ได้)
๖. คำเป็นคำตาย
คำเป็น คือคำที่ประกอบด้วยสระเสียงยาว(ทีฆสระ)ในแก่ ก กา และคำที่มีตัวสะกดในแม่ กน กง กม เกย (คำที่มีตัว ว สะกด จัดอยู่ในแม่เกย) รวมทั้งสระสั้นทั้ง ๔ ตัว คือ อำ ใอ ไอ เอา
คำตาย คือคำที่ประกอบด้วยสระเสียงสั้น(รัสสระ)ในแม่ ก กา และคำที่มีตะสะกดในแม่ กก กด กบ ในการแต่งโคลงที่ชนิดใช้คำตายแทน เอก ได้
๗. คำนำ
คือคำที่ใช้กล่าวขึ้นต้นสำหรับเป็นบทนำในคำประพันธ์ เป็นคำเดียวบ้าง เป็นวลีบ้าง เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น โฉมเฉลา น้องเอ๋ยน้องรัก รถเอ๋ยรถทรง ครานั้น สักวา ฯลฯ บางทีก็ใช้คำนามตรงๆเหมือนอย่างเช่น นามอาลปนะ
๘. คำสร้อย
คือคำที่ใช้สำหรับลงท้ายบทหรือท้ายบาทของคำประพันธ์ ซึ่งตามธรรมดามีคำที่มีความหมายอยู่ข้างหน้าแล้วแต่ยังไม่ครบจำนวนตามคำที่บัญญัติไว้ในคำประพันธ์ จึงต้องเติมสร้อยเพื่อให้มีคำครบตามจำนวนและเป็นการเพิ่มสำเนียงให้ไพเราะในการอ่านด้วย คำสร้อยนี้จะเป็นคำนาม คำวิเศษณ์ คำกิริยาอนุเคราะห์ คำสันธาน หรือคำอุทานก็ได้ แต่ถ้าเป็นคำอุทานที่มีรูปวรรณยุกต์ต้องตัดรูปวรรณยุกต์เอกออก และไม่ต้องมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ มิฉะนั้นจะขัดต่อการอ่านทำนองเสนาะ และในการใช้นั้นควรเลือกคำที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับ คำสร้อยนี้ต้องเป็นคำเป็น จะใช้คำตายไม่ได้ และใช้เฉพาะบทประพันธ์ชนิดโคลงและร่ายเท่านั้น
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น