วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อ้างอิง

อ้างอิง
 
 
 

คำสร้อยที่นิยมใช้

คำสร้อยที่นิยมใช้
 
 
1.พ่อ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล
2.แม่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล หรือเป็นคำร้องเรียก
3.พี่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล อาจใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือบุรุษที่ 2 ก็ได้
4.เลย ใช้ในความหมายเชิงปฏิเสธ
5.เทอญ มีความหมายเชิงขอให้มี หรือ ขอให้เป็น
6.นา มีความหมายว่าดังนั้น เช่นนั้น
7.นอ มีความหมายเช่นเดียวกับคำอุทานว่า หนอ หรือ นั่นเอง
8.บารนี สร้อยคำนี้นิยมใช้มากในลิลิตพระลอ มีความหมายว่า ดังนี้ เช่นนี้
9.รา มีความหมายว่า เถอะ เถิด
10.ฤๅ มีความหมายเชิงถาม เหมือนกับคำว่า หรือ
11.เนอ มีความหมายว่า ดังนั้น เช่นนั้น
12.ฮา มีความหมายเข่นเดียวกับคำสร้อย นา
13.แล มีความหมายว่า อย่างนั้น เป็นเช่นนั้น14.ก็ดี มีความหมายทำนองเดียวกับ ฉันใดก็ฉันนั้น
15.แฮ มีความหมายว่า เป็นอย่างนั้นนั่นเอง ทำนองเดียวกับคำสร้อยแล
16.อา ไม่มีความหมายแน่ชัด แต่จะวางไว้หลังคำร้องเรียกให้ครบพยางค์ เช่น พ่ออา แม่อา พี่อา หรือเป็นคำออกเสียงพูดในเชิงรำพึงด้วยวิตกกังวล
17.เอย ใช้เมื่ออยู่หลังคำร้องเรียกเหมือนคำว่าเอ๋ยในคำประพันธ์อื่น หรือวางไว้ให้คำครบตามบังคับ18.เฮย ใช้เน้นความเห็นคล้อยตามข้อความที่กล่าวหน้าสร้อยคำนั้น เฮย มาจากคำเขมรว่า "เหย" แปลว่า "แล้ว" จึงน่าจะมีความหมายว่า เป็นเช่นนั้นแล้ว ได้เช่นกัน

ชนิดของสัมผัส

ชนิดของสัมผัส
ชนิดของสัมผัสมี ๔ ชนิด
๑ สัมผัสสระ ได้แก่ คำที่มีสระตรงกัน ถ้ามีตัวสะกดก็ต้องเป็นตัวสะกดที่อยู่ในมาตราเดียวกัน เช่น

ไป สัมผัสกับ ใจ ไหน ใส วัย ฯลฯ
จม สัมผัสกับ ถม ล่ม ชม ดม ฯลฯ
เป็น สัมผัสกับ เห็น เย็น เอ็น เข็ญ ฯลฯ
สูญ สัมผัสกับ ทูน มูล คูน ปูน ฯลฯ
บุญ สัมผัสกับ ทุน ขุน กุน วุ่น ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าคำข้างต้นนี้ แต่ละชุดใช้สระเดียวกัน และใช้ตัวสะกดในมาตราเดียวกัน แม้จะใช้วรรณยุกต์ต่างกัน ก็ถือว่าสัมผัสกันได้
                    ข้อควรระวัง อย่าใช้สระเสียงสั้นสัมผัสกับสระเสียงยาว แม้ว่าจะมีตัวสะกดในมาตราเดียวกันก็ตาม จะถือว่าไม่สัมผัสสระกัน เช่น บุญ กับ ทูน ได้ กับ ว่าย กิน กับ ตีน อย่างนี้ถือว่าไม่ได้

๒ สัมผัสอักษร ได้แก่คำที่ใช้พยัญชนะตันเสียงเดียวกัน อาจเป็นอักษรที่เป็นพยัญชนะเดียวกัน หรือพยัญชนะที่มีเสียงสูงต่ำเข้าคู่กันก็ได้ หรือพยัญชนะควบชุดเดียวกันก็ได้ เช่น
 
บาง สัมผัสอักษรกับ บน เบียด บัง
ใคร สัมผัสอักษรกับ ขน ฆ่า เคียง
กลิ้ง สัมผัสอักษรกับ กลับ ไกล เกลื่อน

๓ สัมผัสนอก ได้แก่คำที่บังคับให้คล้องจองกันในระหว่างวรรคหนึ่งกับอีกวรรคหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งที่ต่างๆกัน ตามชนิดของคำประพันธ์นั้นๆ สัมผัสนอกนี้เป็นสัมผัสที่บังคับซึ่งจำเป็นต้องมี จะขาดไม่ได้ และจะต้องเป็นสัมผัสสระเท่านั้น
 
 ๔.สัมผัสใน ได้แก่คำที่คล้องจองกันและอยู่ในวรรคเดียวกัน จะเป็นสัมผัสคู่ที่เรียงคำไว้ติดกัน หรือจะเป็นสัมผัสสลับ คือเรียงคำอื่นไว้แทรกคั่นไว้ระหว่างคำที่สัมผัสนั้นก็ได้ สุดแต่จะเหมาะทั้งไม่มีกฎเกณฑ์จำกัดว่าจะต้องมีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ อย่างสัมผัสนอก และไม่จำเป็นต้องใช้สระอย่างเดียวกันด้วย เพียงแต่ใช้อักษรเหมือนกันหรือเป็นอักษรประเภทเดียวกันหรืออักษรที่มีเสียงคู่กันก็ได้

สัมผัสในแบ่งออกเป็นสองชนิด -


ก. สัมผัสสระ ได้แก่คำคล้องจองที่มีสระและมาตราตัวสะกดอย่างเดียวกัน


ข. สัมผัสอักษร ได้แก่คำคล้องจองที่ใช้อักษรชนิดเดียวกัน หรืออักษรประเภทเดียวกัน หรือใช้อักษรที่มีเสียงคู่กัน


                                               
 

ลักษณะบังคับ ในการเรียบเรียงคำประพันธ์

ลักษณะบังคับ ในการเรียบเรียงคำประพันธ์
 
๑. ครุ-ลหุ
ครุ คือพยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วยสระเสียงยาว(ทีฆสระ)และสระเกินทั้ง ๔ คือสระ อำ ไอ ใอ เอา และพยางค์ที่มีตัวสะกดทั้งสิ้น เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ใช้เครื่องหมาย ั (ไม้หันอากาศ) แทน
ลหุ คือพยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วยสระสั้น(รัสสระ)ที่ไม่มีตัวสะกด เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ใช้เครื่องหมาย
ุ (สระอุ) แทน


๒. เอก-โท
เอก คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์เอกและบรรดาคำตายทั้งสิ้น ซึ่งในโคลงและร่ายใช้แทนเอกได้เอกโทษ คือคำที่ไม่เคยใช้ไม้เอก แต่เอามาแปลงใช้โดยเปลี่ยนวรรณยุกต์เป็นเอกเพื่อให้ได้เสียงเอกตามบังคับ เช่น สั้น เป็น ซั่น ข้าว เป็น ค่าว ฝ้าย เป็น ฟ่าย เป็นต้น
โท คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์โท
โทโทษ คือคำที่ไม่เคยใช้ไม่โท แต่เอามาแปลงโดยเปลี่ยนวรรณยุกต์เป็นโท เพื่อให้ได้เสียงตามบังคับเช่น ว่าย เป็น หว้าย ซ่อน เป็น ส้อน ล่อง เป็น หล้อง เป็นต้น
๓. คณะ
คือแบบบังคับที่วางกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า คำประพันธ์ชนิดนั้นต้องมีเท่านั้นวรรค เท่านั้นคำ และต้องมีเอก – โท ครุลหุตรงนั้นๆ และที่สำคัญคำประพันธ์ทุกชนิดจะต้องมีคณะ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นคำประพันธ์ นี้กล่าวโดยทั่วไป

 ๔. พยางค์
คือจังหวะเสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆหรือหน่วยเสียงที่ประกอบด้วยสระตัวเดียว จะมีความหมายหรือไม่ก็ตาม คำที่ใช้บรรจุในบทร้อยกรองต่างๆนั้น ล้วนหมายถึง คำพยางค์ ทั้งสิ้น คำพยางค์นี้ถ้ามีเสียงเป็นลหุ จะรวม ๒ พยางค์เป็นคำหนึ่งหรือหน่วยหนึ่งในการแต่งร้อยกรองก็ได้ แต่ถ้ามีเสียงเป็นครุจะรวมกันไม่ได้ ต้องใช้พยางค์ละคำ

๕. สัมผัส
คือลักษณะบังคับที่ให้ใช้คำคล้องจองกัน คำที่คล้องจองกันหมายถึงคำที่ใช้สระและตัวสระกดในมาตราอย่างเดียวกัน แต่ต้องไม่ซ้ำอักษรหรือซ้ำเสียงกัน(สระ ไอ ใอ อนุญาตให้ใช้สัมผัสกับ อัย ได้)

๖. คำเป็นคำตาย

คำเป็น คือคำที่ประกอบด้วยสระเสียงยาว(ทีฆสระ)ในแก่ ก กา และคำที่มีตัวสะกดในแม่ กน กง กม เกย (คำที่มีตัว ว สะกด จัดอยู่ในแม่เกย) รวมทั้งสระสั้นทั้ง ๔ ตัว คือ อำ ใอ ไอ เอา

คำตาย คือคำที่ประกอบด้วยสระเสียงสั้น(รัสสระ)ในแม่ ก กา และคำที่มีตะสะกดในแม่ กก กด กบ ในการแต่งโคลงที่ชนิดใช้คำตายแทน เอก ได้


๗. คำนำ

คือคำที่ใช้กล่าวขึ้นต้นสำหรับเป็นบทนำในคำประพันธ์ เป็นคำเดียวบ้าง เป็นวลีบ้าง เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น โฉมเฉลา น้องเอ๋ยน้องรัก รถเอ๋ยรถทรง ครานั้น สักวา ฯลฯ บางทีก็ใช้คำนามตรงๆเหมือนอย่างเช่น นามอาลปนะ

๘. คำสร้อย

คือคำที่ใช้สำหรับลงท้ายบทหรือท้ายบาทของคำประพันธ์ ซึ่งตามธรรมดามีคำที่มีความหมายอยู่ข้างหน้าแล้วแต่ยังไม่ครบจำนวนตามคำที่บัญญัติไว้ในคำประพันธ์ จึงต้องเติมสร้อยเพื่อให้มีคำครบตามจำนวนและเป็นการเพิ่มสำเนียงให้ไพเราะในการอ่านด้วย คำสร้อยนี้จะเป็นคำนาม คำวิเศษณ์ คำกิริยาอนุเคราะห์ คำสันธาน หรือคำอุทานก็ได้ แต่ถ้าเป็นคำอุทานที่มีรูปวรรณยุกต์ต้องตัดรูปวรรณยุกต์เอกออก และไม่ต้องมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ มิฉะนั้นจะขัดต่อการอ่านทำนองเสนาะ และในการใช้นั้นควรเลือกคำที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับ คำสร้อยนี้ต้องเป็นคำเป็น จะใช้คำตายไม่ได้ และใช้เฉพาะบทประพันธ์ชนิดโคลงและร่ายเท่านั้น

ความหมายของคำประพันธ์

ความหมายของคำประพันธ์
                คำประพันธ์ หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ โดยมีกำหนดข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้นและมีความไพเราะ แตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา
ความเป็นมาของคำประพันธ์ไทย

คำประพันธ์ของไทยถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ครั้งใด ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ แต่ถ้าเชื่อตามที่เคยกล่าวกันมาว่าไทยเป็นชาตินักกลอนแล้ว คำประพันธ์ของไทยต้องมีมาก่อนที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช จะทรงประดิษฐ์อักษรไทยในปี พ.ศ. ๑๘๒๖ แต่เป็นคำประพันธ์ที่บันทึกไว้ในสมอง และถ่ายทอดกันด้วยปาก หรือที่เรียกว่า กลอนสด นั่นเอง

คำประพันธ์หรือบทร้อยกรอง มาปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในวรรณคดีเรื่อง ลิลิตโองการแช่งน้ำ หรือ ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า ซึ่งเชื่อกันว่าแต่งใน รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง พ.ศ. ๑๘๒๙ - ๑๙๑๒) เป็นคำประพันธ์ประเภทโคลงกับร่าย

ถ้าสังเกตดูในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย หลักที่ ๑ จะมีลักษณะคำประพันธ์ หรือบทร้อยกรองเพราะจะเห็นลักษณะซึ่งเกิดจากการใช้คำคล้องจองกัน เช่น ในน้ำมาปลา ในนามีข้าว เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ไพร่ฟ้าหน้าใส
คำประพันธ์ไทยนี้ สำนักวัฒนธรรมทางวรรณกรรม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ใช้เรียกวรรณกรรมประเภทที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง หรือมีการกำหนดคณะว่า ร้อยกรอง ควบคู่กันกับคำว่า ร้อยแก้ว อันเป็นความเรียง

คำประพันธ์ที่เรียกว่า ร้อยกรอง ในปัจจุบันนี้ โบราณเรียกกันหลายอย่าง เช่น กลอน ในลิลิตพระลอ กาพย์ ในกาพย์มหาชาติ ฉันท์ ในลิลิตยวนพ่าย กานท์ ในทวาทศมาส และอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่า บทกลอน กาพย์กลอน บทกวี กวีนิพนธ์ กวีวัจนะ บทประพันธ์ และ คำประพันธ์
 
 
 
 
 

คำนำ

 
 
 
คำนำ
 
 
              รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต กลุ่มสาระการเรียนรู้เทคโนโลยีสารสนเทศชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จัดทำเพื่อค้นคว้าหาความรู้ที่บูรณากับวิชาอื่นๆ โดยรายงานเรื่องนี้บูรณาการกับวิชา ภาษาไทย ในหัวข้อเรื่อง การเเต่งคำประพันธ์ เเละหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับคนรุ่นต่อไป
 
หากผิดพลาดประการใด ขออภัย ณ ที่นี้
 
                                                                                                     พิมพกานต์ หวังอยู่
                                                                                                     ( ผู้จัดทำ )


หน้าปก

 
 
การแต่งคำประพันธ์
 
 
 
 
 
 
เสนอ

อาจารย์ ศุภสัณห์ แก้วสำราญ


จัดทำโดย
นางสาว พิมพกานต์ หวังอยู่

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/5 เลขที่27

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต


ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกาษา 2557

โรงเรียนเมืองกระบี่